ปฎิทิน


Code Calendar by zalim-code.com

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

สถานที่ท่องเที่ยวต่างจังหวัดที่เคยไป




                    
                      วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)




 วัดพระแก้วมรกต วัดสำคัญที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์

     วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เป็นพระอารามที่อยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326 เพื่อความสะดวกเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามราชประเพณี และเพื่อเป็นที่บรรจุพระอัฐิอายุของพระเจ้าแผ่นดินเจ้านายในราชสกุล ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” (พระแก้วมรกต) ที่พระระเบียงมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วิจิตรสวยงามและยาวที่สุดในโลก มีปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งเป็นปราสาทยอดปรางค์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 1- 8 มีพระศรีรัตนเจดีย์ประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุมีหอพระราชพงศานุสรณ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีหอระฆังที่มีระฆังซึ่งตีมีเสียงดังกังวานดี มีพระบรมราชานุสาวรีย์ประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์และยังมีรูปยักษ์ 6 คู่ เป็นรูปยักษ์ตัวสำคัญจากเรื่องรามเกียรติ์ เป็นปูนปั้นทาสี ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่างๆ สูงประมาณ 6 เมตร ตั้งประจำที่ช่องประตูพระระเบียง


     วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดพระแก้ว นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๒๗



พระอุโบสถ
สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลังคาลด ๔ ระดับ ๓ ซ้อน มีช่อฟ้า ๓ ชั้น ปิดทองประดับกระจก ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ มีหลังคาเป็นพาไลคลุม รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจกทั้งต้น พนักระเบียงรับเสานางราย ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน ตัวพระอุโบสถมีฐานปัทม์รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน





    ผนังพระอุโบสถ ในรัชกาลที่ ๑ เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง รัชกาลที่ ๓ โปรดเล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ปิดทองประดับกระจก เพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจก บานพระทวารและพระบัญชรประดับมุกทั้งหมด ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๑ ที่เชิงบันไดมีสิงห์หล่อด้วยสำริดบันไดละคู่ รวม ๑๒ ตัว โดยได้แบบมาจากเขมรคู่หนึ่ง แล้วหล่อเพิ่มอีก ๑๐ ตัว

          
                

    พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร

    

        ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต)
พระพุทธรูปปางสมาธิ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง ๔๘.๓ ซม. สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ ซม. ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน

     เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อน เป็นเครื่องต้นประกอบด้วยมงกุฎพาหุรัด ทองกร พระสังวาล เป็นทองลงยา ประดับมณีต่างๆ จอมมงกุฎประดับด้วยเพชร
     เครื่องทรงสำหรับฤดูฝน เป็นทองคำ เป็นกาบหุ้มองค์พระอย่างห่มดอง จำหลักลายที่เรียกว่าลายพุ่มข้าวบิณฑ์ พระเศียรใช้ทองคำเป็นกาบหุ้ม ตั้งแต่ไรพระศกถึงจอมเมาฬี เม็ดพระศกลงยาสีน้ำเงินแก่ พระลักษมีทำเวียนทักษิณาวรรต ประดับมณีและลงยาให้เข้ากับเม็ดพระศก
     พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเครื่องฤดูหนาวถวายอีกชุดหนึ่ง ทำด้วยทองเป็นหลอดลงยาร้อยด้วยลวดทองเกลียว ทำให้ไหวได้ตลอดเหมือนกับผ้า ใช้คลุมทั้งสองพาหาขององค์พระ
    
        บุษบกทองที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สร้างด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ ฝังมณีมีค่าสีต่างๆ ทรวดทรงงดงามมาก เป็นฝีมือช่างรัชกาลที่ ๑ เดิมบุษบกนี้ตั้งอยู่บนฐานชุกชี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำ สลักลายวิจิตรหนุนองค์บุษบกให้สูงขึ้น บนฐานชุกชีด้านหน้า ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณี เป็นพระพุทธรูปที่คิดแบบขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยไม่มีเมฬี มีรัศมีอยู่กลางพระเศียร จีวรที่ห่มคลุมองค์พระเป็นริ้ว พระกรรณเป็นแบบหูมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป
    
       หน้าฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ องค์ด้านเหนือพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ด้านใต้พระนามว่า พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระพุทธรูปทั้งสองพระองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สูง ๓ เมตร ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิ์หุ้มทองคำ เครื่องทรงเป็นทองคำลงยาสีประดับมณี










          
           นอกจากพระอุโบสถซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตแล้ว ภายในวัดพระแก้วก็ยังมีพระระเบียงที่งดงามมาก ผนังด้านในของพระระเบียงมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องรามเกียรติ์ตั้งแต่ต้นจนจบ และมีคำโคลงจารึกบนแผ่นศิลาเพื่ออธิบายแต่ละภาพติดไว้ที่เสาระเบียงอีกด้วย
สิ่งสำคัญและสวยงามในวัดพระแก้วอีกอย่างหนึ่งคือ ปราสาทพระเทพบิดร เป็นปราสาทจัตุรมุขยอดปรางค์ ตั้งอยู่ระหว่างพระอุโบสถกับหอพระมนเทียรธรรม สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔

          ภายในประดิษฐานพระบรมรูปพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักกรีตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๘ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ ฯ ไปทรงถวายราชสักการะพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในวันที่ ๖ เมษายนของทุกปี อันเป็นวันที่ระลึกถึงพระมหาจักรีวงศ์ หรือที่เราเรียกว่า “ วันจักรี ”
ในบริเวณวัดพระแก้วนี้ยังมีสถานที่สำคัญและงดงามอีกมากมาย เช่น พระมณฑป ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังปราสาทพระเทพบิดร เป็นพระมณฑปที่มีรูปทรงงามมาก มีซุ้มประตูทางเข้า ๔ ด้าน หลังคามุงด้วยแผ่นทองแดงประดับกระจก ภายในพระมณฑปประดิษฐานตู้พระไตรปิฎก เป็นตู้ยอกมณฑปประดับมุกที่ใช้เก็บรักษาพระไตรปิฎกฉบับทอง

          สถานที่งดงามซึ่งทุกคนจะได้พบเห็นนอกจากนี้ก็ยังมี พระศรีรัตนเจดีย์ วิหารยอดหอมณเทียรธรรม นครวัดจำลอง หอระฆัง ศาลาราย ฯ ถ้าอยากเห็นสถานที่สำคัญและสิ่งสวยงามต่าง ๆ เหล่านี้ก็ต้องไปชมกันที่วัดพระแก้ว


















     

สถานที่ท่องเที่ยวบ้านเกิด

                                              งานช้าง จังหวัดสุรินทร์
                           จังหวัดสุรินทร์ จะมีการจัดงานช้างขึ้นทุกปี 




    
    
       จังหวัดสุรินทร์...มีช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณ อีกทั้งชาวกวยหรือกูย ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองในอดีตได้จับช้างป่ามาฝึก เพื่อใช้งานในด้านต่าง ๆ เช่น การพาหนะ การขนส่ง รวมถึงช้างยังมีบทบาทในการประกอบพิธีทางศาสนา และวัฒนธรรมของชาวกวย ชาวกวยแต่ละครัวเรือนจะมีช้างที่เลี้ยงไว้อาศัยอยู่รวมกัน จนช้างที่พวกตนเลี้ยงไว้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของตน ก่อให้เกิดสายใยความผูกพันที่แน่นเฟ้นขึ้นระหว่างคนกับช้าง

      ชาวกวยจึงเลี้ยงช้างในฐานะที่เป็นสัตว์เลี้ยงเสียมากกว่าจะเป็นสัตว์ที่ไว้ใช้งาน การฝึกช้างของชาวกวยจึงเป็นการฝึกช้างให้เชื่องและปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าของ ด้วยความเฉลียวฉลาด และความสามารถในการปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ของช้างนี้เอง กลุ่มผู้นำในหมู่บ้านได้เล็งเห็น และรวมตัวกันเพื่อแสดงให้คนภายนอกเห็นถึงความผูกพันของคนกับช้างที่ สามารถอยู่ร่วมกันและสื่อสารกันได้ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความสามารถอันแสนพิเศษของช้างไทย
      
      หากจะเอ่ยถึง สัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทย หลายคนคงนึกถึง สัตว์สี่เท้า ตัวโต งวงยาว และมีงาสีขาวอันแหลมคม ที่เรียกว่า "ช้าง" เป็นสิ่งแรก เพราะมันคือเพื่อน ที่มีบทบาท และความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับคนไทย มาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน    
     ทว่า ในทุกวันนี้ปริมาณช้างไทย กลับลดจำนวนลง เหลือเพียงไม่กี่พันตัวเท่านั้น คาดว่า อีกไม่กี่สิบปี หากเราไม่หยุดทำร้ายช้าง และที่อยู่ของมัน สัตว์ที่เคยร่วมกอบกู้ เอกราชให้ชาติไทย อาจจะต้องกลาย เป็นเพียงสัตว์ในตำนานก็เป็นได้
    ฉะนั้นวันนี้ เราจึงจะพาทุกท่าน ไปย้ำถึงความสำคัญของยักษ์ใหญ่ใจดี ที่มีต่อวิถีชีวิตคนไทย ณ จังหวัดสุรินทร์ ถิ่นช้างไทย เพื่อที่ว่า มันอาจจะช่วยเสริมสร้าง จิตสำนึกให้เรา ได้เห็นถึง คุณค่าของช้างมากยิ่งขึ้น
สุรินทร์ เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ในฐานะที่เป็น “เมืองช้าง” ชาวสุรินทร์ดั้งเดิมที่เลี้ยงช้างเรียกตนเองว่า “กูย” นั้น เป็นผู้ที่ มีความชำนาญ ในการคล้องช้างป่าและฝึกช้างเป็นอย่างยิ่ง สำหรับทางจังหวัด ได้จัดให้มีงาน “การแสดงช้าง” ติดต่อกันมาเป็นเวลา กว่า 30 ปี โดยกำหนดจัดงานในวันเสาร์ และวันอาทิตย์ สัปดาห์ที่สามของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งในปีนี้จะตรงกับวันที่ 17-18 พฤศจิกายน ที่สนามแสดงช้างในตัวเมืองสุรินทร์
     
     การแสดงช้างครั้งแรก จึงถือกำเนิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2503 ณ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ จากความน่ารัก ความแสนรู้ของช้างสุรินทร์ในครั้งนั้น ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่สร้างชื่อเสียง และความประทับใจให้แก่ผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก
 


งานช้างสุรินทร์

งานช้างสุรินทร์

   

 งานช้างสุรินทร์จึงเป็นงานประเพณีของจังหวัดที่ประทับใจอย่างมาก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดูเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง